รีวิว ซีรีส์ HeartStopper

รีวิว ซีรีส์ HeartStopper

รีวิว ซีรีส์ HeartStopper ข่าวดีสำหรับนักอ่านและแฟน ๆ ที่ติดตามซีรีส์ HeartStopper ซีรีส์โรแมนติกดราม่า Live Action ที่จะช่วยเยียวยาหัวใจของวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเอง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายการ์ตูนของนักเขียนชื่อดัง อลิซ โอสแมน ผ่านทาง Netflix ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งซีรีส์และภาพยนตร์ ที่ได้ประกาศไฟเขียวภาคต่อ Heartstopper ซีซัน 2 และซีซัน 3 หลังจากซีซั่นแรกออกอากาศเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ชมทั่วโลก ซีรีส์นี้ได้รับการยกย่องจากผู้ชมและได้รับคะแนนเต็มร้อยคะแนนจากนักวิจารณ์ใน Rotten Tomatoes ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้คะแนนและวิจารณ์เพลง ภาพยนตร์ หรือซีรีส์โดยแฟนภาพยนตร์หรือซีรีส์ โปรดทราบว่าการได้รับคะแนนเต็ม 100 สำหรับเว็บไซต์นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อซีรีส์นี้เปิดตัว ก็กลายเป็นกระแสบน Twitter โดยมีการกดไลค์และรีทวีต #Heartstopper มากมาย ขึ้นสู่อันดับ 1

ซีรีส์นี้มีความยาวเรื่องละประมาณ 30 นาที มี 8 ตอนต่อซีซั่น เล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของวัยรุ่นธรรมดาๆ กับเพื่อน 4 คน กับชาร์ลี สปริง เด็กมัธยมปลายผู้ปลีกตัวออกจากสังคม มักถูกรังแกที่โรงเรียนและได้พบกับนิค เนลสัน เพื่อนใหม่ที่เปลี่ยนโลกของชาร์ลี แต่นิคสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อชาร์ลี ลี เรื่องราวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องราวความรักของวัยรุ่นธรรมดาๆ เกี่ยวกับการค้นหาตัวเอง มันง่ายมาก แต่ไม่ใช่แค่ซีรีย์ขายคู่ทั่วไปเท่านั้น เพราะมีประเด็นที่น่าสนใจมากมายที่คนเขียนจะหยิบยกมาเขียนเล่า แล้วเพื่อนๆจะเข้าใจว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับคะแนนและผลโหวตจากเว็บไซต์ต่างๆ

รีวิว ซีรีส์ HeartStopper เรื่องย่อ (มีสปอยล์)

รีวิว ซีรีส์ HeartStopper เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ชาร์ลี สปริง (ชาร์ลี สปริง) รับบทโดย โจ ล็อค (โจ ล็อค) นักเรียนวัย 16 ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 10 ที่โรงเรียนทรูแฮม ที่มักโดนคนอื่นในโรงเรียนรังแก (Bully) เพราะเขาออกมาเป็นเกย์ ทำให้ชีวิตในโรงเรียนของชาร์ลีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกๆ วัน เขาจะต้องถูกดุด้วยคำพูดรุนแรงต่างๆ จากคนในโรงเรียน ทำให้เขากลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้ารับสิ่งดีๆ จากคนอื่น แม้ว่าชาร์ลีจะมีเพื่อนอย่าง เทาซู่ (วิลเลียม เกา), เอเย่นต์แอล (ยัสมิน ฟินนีย์) และไอแซค เฮนเด้ ก็ตาม ออร์สัน (โทบี้ โดโนแวน) และครอบครัวของเขาที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุน ในขณะเดียวกัน ชาร์ลีแอบเดตกับเด็กผู้ชายที่โรงเรียนโดยไม่มีใครรู้จัก เบนหรือเบนจามิน ฮอบบี้ (เซบาสเตียน ครอฟต์) ความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นอยู่กับการสนทนา แอบไม่มีใครรู้ และชาร์ลีก็ไม่เคยได้รับสถานะที่ชัดเจนจากปากของเบ็นว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน

ต่อมาทางโรงเรียนกำหนดให้มีช่วงเรียนที่นักเรียนชั้นปีต่างๆ ต้องเรียนร่วมกัน ทำให้ชาร์ลีได้พบกับนิค เนลสัน (นิค เนลสัน) รับบทโดย คิท คอนเนอร์ (คิท คอนเนอร์) นักรักบี้หนุ่มเกรด 11 ที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ และเป็นที่รักของเพื่อนๆ ซึ่งแตกต่างจากชา ในชั้นเรียนพลศึกษาเห็นชาร์ลีวิ่งอยู่ในสนามโรงเรียน ชาร์ลีวิ่งเร็วมาก นิคเริ่มสนใจและชักชวนชาร์ลีให้เข้าร่วมชมรมรักบี้ แต่ชาร์ลีปฏิเสธเพราะเขาไม่ชอบกีฬา เพราะเขาคิดว่าชมรมที่มีแต่ผู้ชายคงไม่เหมาะกับเขา และกลัวถูกรังแก จึงทำให้เขาไม่อยากเข้าสังคมใหม่

แม้ว่าชาร์ลีจะปฏิเสธนิคหลายครั้ง แต่สุดท้าย คำพูดของนิคก็จริงใจต่อชาร์ลี ในที่สุดเขาก็ตกลงเข้าร่วมทีมรักบี้ และทำให้พวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น ชาร์ลีเองก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะปีที่แล้วหลังจากที่เขาออกมาเป็นเกย์ก็โดนรังแก แต่เมื่อเขาเข้าร่วมชมรมรักบี้ เขาเล่นรักบี้ได้ดี ส่งผลให้ชาร์ลีเริ่มมีเพื่อนและคนอื่นๆ เริ่มยอมรับชาร์ลีมากขึ้น

วันหนึ่ง นิคสังเกตเห็นว่าชาร์ลีมีท่าทีแปลกๆ เขาจึงแอบติดตามเขาและพบว่าชาร์ลีได้พบกับเบ็น ขณะเดียวกันชาร์ลีกำลังต่อสู้กับเบ็น นิคจึงเข้าไปช่วย ต่อมาชาร์ลีเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับเขาให้นิคฟังโดยแอบออกเดทกับเบน นิคจึงบอกให้ชาร์ลีหยุดคุยกับเบ็น เพราะเบ็นนิสัยไม่ดี จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น เราคุยกันมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาต่างๆและทำการบ้านด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน ไปทุกที่ด้วยกันบ่อยขึ้น จนความรู้สึกของนิคที่มีต่อชาร์ลีเริ่มเปลี่ยนไปเพราะทุกครั้งที่นิคอยู่ใกล้ชาร์ลี เขาอยากจับมือ ฉันอยากกอดชาร์ลี แต่เขาก็ยังลังเลอยู่ มีความสับสน. และรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเขากับชาร์ลีก็ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ เพราะเขาเข้าใจว่าเมื่อก่อนเขาชอบแต่ผู้หญิงเท่านั้น และชอบแต่ผู้หญิงเท่านั้น หรือที่เรียกว่าชายตรง

นิคจึงค้นหาในอินเทอร์เน็ตและทำแบบทดสอบออนไลน์ต่างๆ เพื่อดูว่าเขาเป็นเกย์หรือไม่ สุดท้ายผลตรวจออกมาว่าเขาเป็นเกย์ นิคตกใจและเสียใจมากจนเขาร้องไห้ แต่เขาไม่ได้ต่อต้านหรือรู้สึกรังเกียจชาร์ลีเลย เพราะหลังจากนั้นเขาก็พูดคุยและประพฤติตัวกับชาร์ลีตามปกติเหมือนเมื่อก่อน

จุดเปลี่ยนของซีรีส์ก็คือ ในงานวันเกิดของ แฮร์รี่ กรีน (คอร์แมค ไฮด์-คอร์ริน) พวกอันธพาลบางคนในโรงเรียนก็จัดงานเลี้ยงวันเกิด นิคเชิญชาร์ลีมางานวันเกิดของเขา นิคได้พบกับทารา โจนส์ (คอรินนา บราวน์) เด็กสาวที่เขาเคยชอบ นิคและธาราคุยกัน และทาราบอกนิคว่าเธอกำลังออกเดทกับเพื่อนสาวของเธอ ดาร์ซี โอลส์สัน (คิซซี่ เอ็ดเจล) ที่โรงเรียนหญิงล้วน และทั้งสองคนได้พูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของพวกเขาและจะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนซึ่งกันและกันต่อไป นิคเห็นธารามีความสุขกับแฟนสาวทำให้เขาคิด ธาราเองก็มีความสุข และเห็นว่าการที่เขามีความรู้สึกดีๆ กับชาร์ลีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย จากนั้นนิคก็หาสถานที่เงียบสงบเพื่อพูดคุยกับชาร์ลีในงานปาร์ตี้ หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป นิคและชาร์ลีตกลงกันเบื้องต้นว่าจะออกเดทกัน เพราะยังเป็นเรื่องยากสำหรับนิคที่จะประกาศตัวเอง (Come Out) และชาร์ลีก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ระหว่างเรื่องราวของชาร์ลีและนิคที่เป็นคู่รักหลักอยู่แล้ว ซีรีส์ยังบอกเล่าเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความสับสน ปัญหาความรัก ความรู้สึกของการแอบรักเพื่อน เล่าผ่านตัวละครเทาซูและตัวแทนแอล เพื่อนในกลุ่มของชาร์ลีที่เคยเรียนโรงเรียนชายล้วนด้วยกัน และประเด็นที่น่าสนใจคือแอลเป็นสาวข้ามเพศ ที่ย้ายจากโรงเรียนชายล้วนไปโรงเรียนหญิงล้วนเพื่อขจัดปัญหาการถูกรังแก ที่โรงเรียนของแอล มีคู่รักเลสเบี้ยนคู่หนึ่งที่เพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จักในโรงเรียนแห่งนี้ด้วย นั่นคือคู่ของทาร่าและดาร์ซี่ แน่นอนว่าต้องมีหลายคนที่ไม่ยอมรับเช่นกัน หลังจากนี้ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นจะเติบโตไปในทิศทางใด? ตัวละครจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร? มาช่วยเหลือทุกคนด้วยกันเถอะ

เหตุผลที่ต้องดู Heartstopper

นี่เป็นประเด็นที่สะท้อนสังคมปัจจุบันที่เพื่อนๆ มักได้ยินบ่อยๆ หรือไม่? เพราะการกลั่นแกล้ง (Bully) คือพฤติกรรมรุนแรง มันกำลังกลั่นแกล้ง การกลั่นแกล้งมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดที่รุนแรง การใช้คำพูดดูหมิ่น ล้อเลียน ข่มขู่ ใช้กำลัง อาจทำให้ร่างกายและจิตใจของเหยื่อได้รับความเดือดร้อน และมีผลกระทบต่อการบูรณาการทางสังคม ปัญหาเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับนักศึกษาในสถาบันการศึกษา

ซีรีส์นี้ผู้เขียนบทหยิบประเด็นของตัวละครหลัก ชาร์ลี ที่ถูกล้อเลียนเรื่องเพศของเขา ทำให้ชาร์ลีกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่กล้าเข้าสังคม ลดค่านิยมของตัวเอง และมีบทกลอน “ฉันขอโทษ” อยู่เสมอ โดยที่ชาร์ลีไม่ได้ทำอะไรผิดหลายครั้ง เพื่อนและครอบครัวของชาร์ลีพร้อมให้การสนับสนุนเขาเสมอ แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะผลกระทบจากการถูกคนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง

บทความแนะนำ

รีวิว Red White & Royal Blue

รีวิว One Piece